เบี้ยแก้ ดีทางเมตตามหานิยม แคล้วคลาดคงกระพันชาตรี
พูดถึงเครื่องรางมีไว้ป้องกันสรรพอันตรายต่าง ๆ และยังมีความหมายถึง วัตถุเครื่องป้องกันและแก้การกระทำทางคุณไสย ตลอดจนยาสั่ง และไข้ป่า เป็นอิทธิวัตถุที่มีลักษณะท้าทายอย่างเปิดเผยต่อการปล่อยคุณไสย และการกระทำย่ำยีในฝ่ายกาฬไสยทั้งปวง
ตำนานความเป็นมาของอิทธิวัตถุที่เราเรียกว่าเบี้ยแก้นั้น นัยว่ามีพื้นฐานที่มาลึกซึ้งพอสมควร ชาวไทยเรามีความนับถือเบี้ยหรือจั่นกันมาตั้งแต่ครั้งกาลนานแล้ว คนไทยโบราณนับถือเบี้ยว่าเป็นเครื่องหมายของเทพเจ้า นิยมเอาห้อยคอเด็กเป็นมงคลวัตถุเป็นเครื่องรางสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ ไทยเราก็เคยใช้เบี้ยหรือจั่นเป็นเงินตราอีกด้วย กาญจนา นาคพันธุ์ ได้ค้นคว้าและอธิบายเรื่อง เบี้ยหรือจั่น ไว้ว่า นอกจากการนับถือ พระคเณศร์ เป็นเทวดาสำคัญตามลัทธิพราหมณ์ในสยามซึ่งเชื่อว่าจะเป็นคติพราหมณ์องคราษฎร์ ก็ยังมีจารีตประเพณีอื่น ๆ อีกที่เข้าใจว่า ไทยเราได้พราหมณ์องคราษฎร์มาเป็นครู ท่านผู้อ่านคงเคยรู้จัก “เบี้ยจั่น” ตัวเล็ก ๆ ที่ไทยเราใช้แทนเงินตราในสมัยก่อน เบี้ยนี้ส่วนมากมาจาก เกาะมัลคิวะ ซึ่งเป็นเกาะอยู่ในมหาสมุทรอินเดียถัดเกาะลังกาไปทางตะวันตก ในสมัยโบราณปรากฏว่าแคว้นองคราษฎร์ใช้เบี้ยจั่นเป็นเงินตราในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า ชาวองคราษฎร์ไปแลกเบี้ยจากชาวเกาะ สำหรับมาใช้เป็นเงินในแคว้น
การใช้เบี้ยต่างเงินต่างตราของไทยในสมัยโบราณจึงอาจเป็นประเพณีมาจากแคว้นองคราษฎร์ มีข้อถืออันหนึ่งที่พอจะนับว่าเป็นเครื่องสนับสนุนการสันนิษฐานนี้ก็คือ ความคล้ายคลึงกันในเรื่องนับถือเบี้ย ชาวองคราษฎร์ถือว่าเบี้ยนั้นเป็นพระลักษมี เขาบูชาเบี้ยด้วย ส่วนไทยโบราณก็นับถือเบี้ยคล้ายเทวาองค์หนึ่ง ตามปกติมักเอาเบี้ยมาห้อยคอเด็กนับถือว่าเป็นเครื่องรางอันหนึ่งในทางโชคลาภและคุ้มสรรพอันตรายต่าง ๆ
ในวรรณดีเก่าของไทย กล่าวถึงการบนเบี้ยอันเป็นการแสดงว่า ไทยนับถือเบี้ยเป็นเทวดาอันศักดิ์สิทธิ์ เช่นในเรื่องขุนช้างขุนแผนตอนนางเทพทองจะคลอดขุนช้างมีกลอนว่า “บ้างก็เสกมงคลปรายข้าวสาร เอาเบี้ยบนลนลานเหน็บฝาเกลื่อน” และในเรื่องอิเหนาตอนอิเหนาลอบไปหาจินตะหราก็มีคำประสันตาว่า “จะแต่งเครื่องสังเวยให้มากมาย ข้าจะกินถนายเทวัญ ว่าพลางทางแกว่งเบี้ยบน ทำตามเล่ห์กลคนขยัน” การนับถือเบี้ยเป็นของศักดิ์สิทธิ์นี้ เป็นสัญลักษณ์ของพระลักษมีนั่น ก็ได้มีปรากฏอยู่ในกฎหมายโบราณ โดยใช้คำเรียกเบี้ยจั่น ว่า ภควจั่น ดังกล่าวความตอนหนึ่งว่า “จะแต่งบุตรและหลานก็ให้ใส่แต่ จี้เสมาภควจั่น จำหลักประดับพลอยแดงเขียวเท่านั้น อย่าได้ประดับเพชรถมยาราชวดี ลูกประหล่ำเล่า ก็ให้ใส่แต่ลายแทงแลเกลี้ยงเกี้ยว อย่าให้มีกระจังประจำยามสี่ทิศ แลอย่าให้ใส่กระจับปิ้งพริกเทศทองคำ กำไลทองใส่เท้า และห้ามอย่าให้ช่างหล่อทั้งปวงรับจ้าง ทำจี้เสมาภควจั่นประดับเพชรถมยาราชาวดี และกระจับปิ้ง พริกเทศทองคำ กำไลเท้าและแหวนถมยาราชาวดีประดับพลอย ห้ามมิให้ซื้อขายเป็นอันขาดทีเดียว ถ้าข้าราชการผู้น้อยและอาณาประชาราษฎร์ช่างทอง กระทำให้ผิดถ้อยอย่างธรรมเนียมแต่ก่อน จะเป็นโทษอย่างหนัก”
คำว่า “ภควจั่น” นี้แยกออกเป็นสองคำคือ ภคว เป็นคำย่อของ ภควดี อันเป็นสมญานามของ พระลักษมีและจั่น เป็นคำสามัญหมายถึง เบี้ยจั่น อันเป็นเครื่องหมายของ พระลักษมี
กฎหมายโบราณของไทยฉบับนี้แสดงถึงระบบการแบ่งชั้นวรรณะในสมัยโบราณอย่างน่าเกลียด ไม่ยอดให้สามัญชนห้อเสมาภควจั่นประดับเพชร และลงถมยาราชวดี ฯลฯ เพื่อสงวนไว้สำหรับลูกจ้าง หรือลูกขุนนางชั้นสูงเท่านั้น อนุญาตให้ห้อยได้เพียง จี้ภควจั่นที่เลี่ยมทองจำหลักฝังพลอยธรรมดา ๆ เท่านั้น เมื่อยุคนี้เป็นยุคประชาธิปไตยซึ่งกฎหมายที่ไร้สาระดังกล่าวได้เลิกลาไปช้านานแล้ว ฉะนั้นถ้าใครมี “เบี้ยแก้” ของหลวงปู่บุญ ก็ควรจะทำตลับลงยาราชาวดีสวมใส่เสีย เดี๋ยวนี้ชักหายากแล้ว และผู้มีฐานะดีก็ควรประดับเพชรเสียด้วย และเบี้ยแก้ ก็คือภควจั่นวิเศษสุดที่ได้รับการบรรจุด้วยปรอทสำเร็จพุทธคุณแล้วนั่นเอง
: หนุ่มคงกระพัน , หนุ่มคงกระพันofficial , เครื่องรางของขลัง , kongkapanstore , วัตถุมงคล